ชีวิตของฉันต่อจากนี้ *เนื้อเรื่องต่อจากนี้อาจจะวนไปวนมาตรงที่เรายอมแพ้อุปสรรคชีวิต แล้วระเบิดร้องให้ ขอโทษค่ะ แต่ตอนนั้นเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ เราหลงทาง เราสับสน เราไม่เห็นแสงสว่างในความมืดเลย และอาจมีการเสริมเติมแต่งนิดนึงผสมความจริงกับความฝันเพราะตอนนั้นเราล่องลอยหลงทางมาก และมันเกิดขึ้น 20 กว่าปีแล้ว บางเหตุการณ์เราก็จำได้ไม่แม่นนักนะค่ะ
“ต่อไปเราจะเป็นอย่างไรนะ ตอนนี้มีชีวิตอยู่ได้ยืนอยู่ได้ก็เพราะยาเสตียรอยด์เท่านั้น จะเรียนจบไหม? จะมีงานทำไหม? จะกลับไปมึนทรมานเดินโซซัดโชเซอีกไหม จะโดนโจมตีที่สมองอีกไหม ฉันจะเป็นโรคอะไรก็ไม่อยากได้ยินอีกแล้ว หมอก็ไม่อยากหาอีกแล้ว” เราเหม่อมองไปบนท้องฟ้า และหวังว่าดวงดาวจะมอบคำตอบให้
ตอนนี้เหมือนเราแขวนป้ายบอกตัวเองว่าเป็น MS (ทั้งที่หมอบอกแค่ว่า”อาจจะเป็น”)
ตอนนั้นหมอเริ่มลดยาเสตียรอยด์เราแล้ว เพราะโดสที่เราได้คือโดสสูงสุด 4เม็ด 4มื้อ เราโดนผลข้างเคียงอันโหดร้ายของมันมาเต็มๆแล้ว ที่เห็นได้ชัดคือน้ำหนักขึ้น (20โลอ่ะค่ะคิดดู) เรากินจุมากกว่าปกติ แทบจะซื้อของกินทุกคาบ คนที่เรียนคณะเดียวปีเดียวกับเราคงมีสงสัยบ้างว่าเราเป็นอะไรของเรากินจนตัวจะแตกอยู่แล้ว!!! หน้าบวมเหมือนถ้าบวมขึ้นอีกมิลหนึ่งผิวหนังจะปริแตกออกมาแล้ว ทั้งยังบวมน้ำขึ้นทั่วตัว เราอ่ะแอบสงสัยแบบฮาๆว่าถ้าเอาเข็มเจาะหน้า น้ำมันจะพุ่งออกมามั้ย
ผลข้างเคียงอีกอย่างหนึ่งที่ยังทำให้เราเป็นทุกข์จนถึงทุกวันนี้ คือมันทำให้ผิวเราเป็นแผลง่ายมากและพอเป็นก็หายยากมาก หลายแผลเกิดจากเราซุ่มซ่ามชนโต๊ะหรือโดนมีดบาดยังเป็นแผลเป็นจนถึงทุกวันนี้
ยาเสตียรอยด์เท่าที่เราเข้าใจจัดเป็นยาอันตรายที่ต้องกินภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น (กระนั้นเราก็เห็นมันถูกใช้อย่าวผิดกฎหมายในครีมและยาต่างๆที่อวดอ้างสรรพคุณว่าเป็น ยา/ครีมเทวดา อย่าลืมนะคะว่ายาเสตียรอยด์ ถูกเรียกว่า”ยาครอบจักรวาล” แต่วิธีการรับประทานและผลข้างเคียงมันอันตรายมาก เช็คให้ดีนะคะว่ายา/ครีมที่คุณใช้มีสารเสตียรอยด์ประกอบหรือเปล่า) ยาอันตรายโดสเยอะขนาดนี้ถ้าแพทย์ที่ดีจะไม่ให้ทานนานหรอกค่ะ (เสตียรอยด์จัดอยู่ในกลุ่มยาอันตรายนะคะ คุณไม่สามารถเดินไปร้านขายยาแล้วซื้อนะ)
ในใจเราครึ่งหนึ่งก็ดีใจนะ เพราะเราจะทนผลข้างเคียงมันไม่ไหวแล้ว อีกใจหนึ่งเราก็รู้สึกเหมือนทหารที่ถูกเอาเกราะออกไป และมีโรคร้ายนี้เป็นมีดแหลมมาจ่ออยู่ตรงหน้า พร้อมจะแทงเรา (เพราะเกราะกำบังของเราคือยามันกำลังจะหายไปแล้ว) เรากลัวทุกอย่างที่ผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกายเรา (เพราะทุกอย่างนั่นหมายถึงสมองเราถูกโจมตีอีกครั้ง) เหมือนคนบ้าเลย ขนาดตอนนั้นหูฟังด้านขวาเสีย เราตกใจเพราะเราไม่ได้ยินเสียงจากหูฟังข้างขวาเรานึกว่าเราหูหนวก จนเพื่อนเราต้องทดลองดูว่าหูฟังมันพังจริงๆ ตอนนั้นอาจารย์a มาถามเราเป็นระยะๆว่าเราเป็นไงมั่ง เราบอกว่าหมอฟันธงแล้วว่าเป็น MS (ทั้งๆที่หมอบอกว่า”อาจจะเป็น” ก็อย่างที่บอกว่า99%กับ100%มันต่างกันนะคะ) อาจารย์บอกว่าโรคนี้จริงๆเขาเจอกันมาเป็น 100 ปีแล้ว เดี๋ยวก็เจอทางรักษาแล้ว แล้วอาจารย์aถามว่าหมอให้ทำไง เราบอกว่าตอนนี้กินเสตียรอยด์ ถ้าสมองถูกโจมตีอีกคงต้องฉีดยา อาจารย์ดูตกใจ เราบอกเรากลัวมาก กลัวว่าเราจะเรียนไม่จบ ถ้าเราต้องหยุดนานๆอีกเราขอโทษ อาจารย์aบอกเราว่าไม่เป็นไร เขาเข้าใจว่าตอนนี้เราคงสับสนมาก จากการที่เป็นอะไรก็ไม่รู้ ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไง มันจะโจมตีตอนไหนก็ไม่รู้ เขาเลยเสนอข้อเสนอที่เราตกใจมากคือ “ถ้าเรามาเข้าเรียนไม่ไหว ไม่ต้องมาเลยก็ได้ แค่มีงานมาส่งพอ แล้วเรื่องสอบค่อยว่ากันทีหลัง” (ขอบคุณค่ะอาจารย์a)
อีกหลายคนที่เราต้องขอบคุณคือเพื่อนของเรา เพื่อนบอกว่าตกใจมากที่ได้ข่าวว่าเราต้องเจาะไขสันหลังและคนที่มีรถก็อาสารับส่งเราจากมหาลัย-บ้าน เพราะพ่อแม่เราไม่ไว้ใจให้เราไปกลับด้วยรถเมล์เองอีกแล้ว เพราะไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราอาจวูบโดนรถเมล์ทับตายก็ได้ เรานั่งรถเพื่อนกลับบ้าน ขนาดกินเสตียรอยด์ แต่การเรียนเช้ายันเย็นก็ยังทำให้เราเหนื่อย เผลอหลับบนรถบ่อยไป แต่ถ้าวันไหนที่เราดูอาการดี เพื่อนเราก็จะพาเราไปเที่ยวที่นู่นที่นี่ และวันหนึ่งเพื่อนเราก็พาไปกินบุฟเฟ่ต์ลวกจิ้ม และเราดันไปลวกหอยไม่สุกดี และเราต้องกินยาเสตียรอนด์ซึ่งมันเป็นยากดภูมิจำได้ไหมคะ ผลคือท้องเสีย อาหารเป็นพิษ หมดแรง เกือบลงเอยที่โรงพยาบาล ต้องหยุดเรียนอีก4วัน (บ้าจริง)
อาจารย์aเห็นเราหายหัวไปก็เริ่มเป็นห่วงนึกว่าเราต้องฉีดยาแล้ว (ยาที่ใช้เพื่อลดการโจมตีสมองของMS นั้นเป็นยาที่มีผลข้างเคียงค่อนข้างมากพอๆกับเสตียรอยด์ บทความที่เราเคยอ่านเขาบอกว่ามันเหมือนของเหลวมีพิษเข้าไปน่ะค่ะ–แล้วเรียกยาได้ไง) แล้วเราก็โผล่หน้ามาเรียนในสภาพที่ค่อนข้างแย่ หน้าและตัวบวมแต่โทรมมาก อาจารย์aถามว่าเป็นไงบ้าง เริ่มฉีดยาแล้วเหรอ เราบอก”เปล่า” (เดี๋ยวจะรู้เหตุผลตอนหลังว่าทำไมเราถึงยังไม่ฉีดยา)แค่นั้นแล้วก็พูดอะไรไม่ออก ระเบิดร้องให้ เราจำได้ว่าเราพูดประมาณว่า “I don’t think my life will end up like this I may not even graduate with friends” (เราเรียนภาคภาษาอังกฤษนะอย่าลืม)
เราหวังว่าให้อาจารย์aลากเราไปที่ออฟฟิส และพูดประมาณว่า”ผมรู้ผมไม่ใช่อาจารย์ประจำของที่นี่ แต่คุณต้องให้เขาจบ เขาถูกวินิจฉัยว่าเป็น MS ซึ่งเป็นโรคหายากของเมืองไทย แต่เป็นโรคเกี่ยวกับสมอง และอาการคาดเดาได้ยาก ถ้าคุณไม่เข้าใจว่าเป็นโรคอะไรก็googleหา หรือไม่ก็โทรถามแพทย์ประจำตัวของเธอ” เราหวังว่าอาจารย์ a จะถามออฟฟิสมีวิชาไรให้เราดรอปไหม ใช่ เรากำลังหวังให้ใครช่วยเราและเข้าใจเรา ยอมรับเราอย่างที่เราเป็น
สิ่งเดียวที่ปกป้องเราคือใบรับรองแพทย์ซึ่งเขาตรวจสอบแล้วว่าเราไม่ได้ปลอมมา แต่สิ่งนั้นที่เราฝันว่าอาจารย์aจะช่วยขนาดนั้นไม่เคยเกิดขึ้น เราคิดว่าไม่มีใคร…ไม่มีใครเข้าใจช่วยเหลือปกป้องเราเลย
และแล้ววันเวลาก็ผ่านไปเราลดเสตียรอยด์จนหยุดยา…หยุดไปซักพักอาการมึนก็กลับมาอีกครั้ง
ไม่นะ ดวงดาวจ๋าเธอจะให้คำตอบเราจริงๆใช่ไหม
*เราอาจเขียนภาษาอังกฤษผิดแกรมม่าบ้างต้องขออภัยนะคะ ไม่ค่อยแม่นแกรมม่าเท่าไร
Book